top of page
  • รูปภาพนักเขียนไหล่การอง MV

ดูหนัง

ดูหนัง Voyagers – ไซไฟคอนเซ็ปต์จัดที่เรื่องราวสะดุดด้วยเหตุว่าบทจืดสนิท

ดูหนัง เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าที่ผ่านมา ภาพยนตร์ไซไฟ ‘Voyagers’ หรือ ‘คนอนาคตโลก’ เพิ่งเข้า Netflix ไปหมาดๆซึ่งในความเป็นจริงแล้ว นักเขียนรวมทั้งผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยก็คงจะลืมไปแล้วแหละว่าหนังประเด็นนี้เข้าโรงแบบเงียบๆเมื่อท้ายปีที่แล้วโน่นเลยจ๊า ซึ่งมันเงียบจริงๆขอรับ หากจำกันได้ ตอนนั้นเป็นช่วงที่หนัง Marvel พาเหรดเข้าโรงกันแบบบึ้มๆซึ่งก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ล่ะว่ามันก็เบียดบังรายได้ไปพอเหมาะพอควร แถมยังเป็นตอนๆที่วัววิดยังระบาดอยู่ด้วย หนังหัวข้อนี้เลยฉายและออกมาจากโรงแบบเฉยๆแวบมาลงใน HBO GO แป๊บหนึ่ง แล้วก็กลับมาติดอันดับ Top 10 ของไทยบน Netflix สดๆร้อนๆเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง

ตัวหนังประเด็นนี้ได้ผลสำเร็จงานไซไฟผลงานจากสตูดิโอ ‘Lionsgate’ แล้วก็ ‘AGC Studios’ จากความสามารถการดูแลของ ‘นีล เบอร์เกอร์’ (Neil Burger) ครับผม ผลงานของเขาที่น่าจะคุ้นกัน ก็น่าจะเป็นบรรดาหนังทีนเอจไซไฟตระกูล ‘Divergent’ ที่ควบคุมเฉพาะภาคแรก ‘Divergent’ (2014) และะถอยมาเป็น Executive Producer ในสองภาคหลัง หรือหนังไซไฟทริลเลอร์อย่าง ‘Limitless’ (2011) หรือถ้าหากไม่เอาไซไฟ เขาก็เคยกำกับ ‘The Upside’ (2017) หนังฟีลกู้ดปนขบขันที่รีเมกจากภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่องดัง ‘Intouchables’ (2011) นั่นเอง ดูหนัง




‘Voyagers’ เกี่ยวกับเรื่องของหายนะโลกที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ครับผม โลกกำลังพบเจอกับวิกฤติเสื่อมโทรม ทรัพยากรน้อยเกินไป การทนอาศัยบนโลกแปลงเป็นเรื่องยาก นักวิทยาศาสตร์ก็เลยได้วางแผนที่จะย้ายมนุษย์ไปยังดาวนพเคราะห์ดวงใหม่ที่จะต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่า 86 ปี ก็เลยจะต้องมีการส่งมนุษย์เข้าไปริเริ่มก่อน แม้กระนั้นถ้าหากจะไปโดดๆอาจจะแก่ตายก่อน นักวิทยาศาสตร์เลยมีกรรมวิธีที่ซับซ้อนกว่านั้นหมายถึงต้องมีการเพาะเลี้ยงมนุษย์ในแล็บขึ้นมา 30 คน เพื่อเป็นลูกเรือชุดแรกที่จะส่งไปบนอวกาศ เมื่อถึงเวลา ลูกเรือพวกนี้ล่ะก็จะทำหน้าที่เพาะพันธุ์ เลี้ยง สืบต่อกันไปเรื่อยๆกว่าจะไปถึงดาวก็จะต้องใช้เวลาขั้นต่ำๆ3 รุ่น

แต่ลูกเรือพวกนั้นไม่ได้ไปแต่ลำพัง เนื่องจากว่ามีนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญอย่าง ‘ริชาร์ด’ (Colin Farrell) ไปดูแล เสมอเหมือนเป็นครูใหญ่ รวมทั้งบิดาของเหล่าลูกเรือ ทุกเช้า ลูกเรือทุกคนจำเป็นจะต้องกินน้ำสีฟ้าที่ชื่อว่า เดอะ บลู (The Blue) ซึ่งเรื่องมันมาเกิดในเวลาที่เป็นวัยรุ่นนี่แหละ เมื่อเด็กหนุ่มเพื่อนสนิท ‘คริสโตเฟอร์’ (Tye Sheridan), ‘แซ็ก’ (Fionn Whitehead) และก็ ‘เซลา’ (Lily-Rose Depp) หญิงสาวผู้มีความฉลาดทางการแพทย์ ดันไปล่วงรู้ว่า ไอ้เดอะบลูที่พวกเขาดื่มทุกยามเช้าเนี่ย มันเอาไว้กดฮอร์โมนไม่ให้พุ่งพรวด กดอารมณ์ไม่ให้รู้สึกอะไรมากเกินพอดิบพอดี รวมทั้งกดความต้องการทางเพศไม่ให้ไปสวีวี่วีกันเองมั่ว เมื่ออารมณ์และก็กฏที่เคยถูกกดกลับปะทุ ภัยร้ายอันตรายก็เลยเกิดขึ้นเพราะเหตุว่าวัยว้าวุ่นพวกนี้นี่แหละ

ในแง่ของพล็อต

เอาเข้าจริงตัวหนังนับว่ามีความ High-Concept มากๆเลยค่ะขอรับ เป็นเป็นหนังTeenage Sci-Fi หรือแนวไซไฟวัยรุ่น (ประเภทเดียวกับ ‘Ready Player One’ (2018) หรือ ‘The Hunger Games’ (2012)) ที่นับว่ามีคอนเซ็ปต์รวมทั้งพล็อตน่าดึงดูดทีเดียว แม้ตัวพล็อตเองจะมีความคุ้นๆจากหนังสือ ‘Lord of the Flies’ (วัยเยาว์อันหมดสิ้น) เขียนโดย ‘วิลเลียม โกลดิง’ (William Golding) ที่ว่าด้วยกรุ๊ปเด็กติดเกาะที่ช่วงชิงกันเพื่อชิงอำนาจสำหรับการจัดระเบียบสังคม เพียงแต่มีความเป็นไซไฟที่มีกลิ่นของแบบดิสโทเปีย (Dystopia) ที่ดำเนินด้วยวิธีการเล่าแบบ Young Adult (เด็กที่ต้องดำรงชีพแล้วก็เอาชีวิตรอดแบบคนแก่) เข้ามาด้วยนั่นเอง

ที่ผู้เขียนชอบคอนเซ็ปต์ของหนังประเด็นนี้อีกอย่างก็คือ การแปลความหมายเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นมนุษย์ครับผม ตัวหนังในตอนแรกจะยกให้เราเห็นว่า แม้ไอเดียกระบวนการทำอย่างงี้จะเป็นการช่วยมนุษยชาติ แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นการทำลายชีวิตมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งไปแบบเดียวกัน วัยรุ่นเหล่านี้ล่ะจะได้ทำความเข้าใจว่า อะไรที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ ความสำราญ ความทุกข์ใจ ความขุ่นเคือง ความห่าม ราคะ ควาพึงพอใจทางเพศ ความต้องการสวีวี่วีกับใครซักคนเป็นเรื่องไม่ถูกบาปจนจำเป็นต้องกดเอาไว้ใช่หรือไม่ วิทยาการมันมีแต่ข้อดีจริงหรือเปล่า นี่ยังไม่รวมถึงการตั้งข้อซักถามเกี่ยวกับการบ้านการเมืองแล้วก็การปกครองที่ชักชวนให้รำลึกถึงการบ้านการเมืองไทยนิดๆด้วยนะ

ตัวหนังที่คอนเซ็ปต์จัดขนาดนี้ ถ้าสามารถเล่าและก็ขมวดหนังประเด็นนี้ให้ออกมาคม แล้วก็กลม นี่จะเป็นหนังแนวไซไฟจิตวิทยาที่แข็งแรงรวมทั้งให้ความบันเทิงแบบเฉลี่ยวฉลาดๆได้แน่นอน แม้กระนั้นตัวหนังกลับดันตกม้าตายด้วยจุดหักเหเริ่มต้นองก์ที่ 2 เสียอย่างนั้นครับ ด้วยเหตุว่ายิ่งหนังเดินหน้า ตัวบทและการดำเนินเรื่องเบาหวิวเยอะขึ้นเรื่อยๆด้วยพฤติกรรมของตัวละครที่ล้วนแต่มารวมทั้งไปแบบง่ายๆจนถึงพาให้การเดินเรื่องอ่อนเพลีย เรียบง่าย รวมทั้งปกติจนกระทั่งเกือบจะหาจุดพีก จุดลุ้น จุดเอาใจช่วยไม่พบ

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวบทก็ยิ่งพาฉุดกระชากตัวออกนอกลู่ ด้วยการเพิ่มโทนสยองขวัญเข้ามาเสียแบบงั้นแหละ ทำให้ตัวหนังเริ่มหลุดจุดโฟกัสออกไปทีละน้อยๆ จากองก์แรก เริ่มปูเรื่องด้วยพล็อตไซไฟคอนเซ็ปต์จัดท่าครั้งเฉลี่ยวฉลาดๆทั้งยังเรื่องของเทคโนโลยี เรื่องของชายยิ่งใหญ่ (Masculinity) การต่อสู้กับธรรมชาติ ลากเข้าสู่หนังการบ้านการเมืองวัยว้าวุ่น ความระแวดระวัง ความมืดดำของคนเรา และแรงกระตุ้นทางเพศสุดวาบหวามในองก์ลำดับที่สอง และแหกโค้งไปเป็นหนังสยองขวัญเดาง่ายในองก์ท้ายที่สุดเสียแบบงั้น ทำให้ตัวหนังแปลงเป็นเพียงการพยายามจะเล่าอะไรก็ได้อย่างละนิดละหน่อยในแบบที่ Genre หนังไซไฟเรื่องหนึ่งพึงจะมี ด้วยท่วงท่าที่เบาหวิว สรุปทุกๆสิ่งทุกๆอย่างง่ายๆไม่สุดกับอะไรสักทาง ดูหนัง


ดู 0 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


โพสต์: Blog2 Post
bottom of page